"จตุพร" จวก ครม. นัดแรก มติโหลยโท่ย แบ่งจ่ายเงินเดือน ขรก. ไม่รู้ฐานชีวิตคนแบกหนี้

View icon 243
วันที่ 14 ก.ย. 2566
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
"จตุพร" จวก ครม. นัดแรก มติโหลยโท่ยก่อปัญหา แนวคิดแบ่งจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 ครั้ง ไม่รู้ฐานชีวิตคนแบกหนี้ ภาระเดือนชนเดือน หวั่นเงินดิจิทัลหวังพึ่งเครดิตกลุ่มทุนหมุนแจก ปชช.

ครม.นัดแรก นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน วานนี้ (13 ก.ย.66) ตอน "มากกว่าที่เห็น" โดยข้อความตอนหนึ่ง แสดงถึงความกังวลรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ประชุม ครม.นัดแรกได้สำแดงเดชมติจ่ายเงินเดือนข้าราชการ 2 ครั้ง จะสร้างปัญหาครั้งใหญ่กับฐานชีวิตที่แบกภาระหนี้เดือนชนเดือน ในแง่ชีวิตของประชาชนหรือข้าราชการ จะมีค่าใช้จ่ายที่ต้นเดือนและต้องจ่ายการผ่อนซื้อในแต่ละเดือนเต็มจำนวน ซึ่งไม่อาจจ่ายผ่อนที่ละครึ่งเดือนได้ เช่น ค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต เป็นต้น ดังนั้น ระบบการเงินที่ผ่านมาเงินเดือนกับรอบหนี้ต้องจ่าย จึงสอดคล้องหรือตรงกันการแก้ปัญหาของนายกฯ จึงไม่ได้พิจารณาถึงค่าใช้จ่ายของชีวิตล้วนผูกติดไว้กับภาระหนี้ที่อยู่ต้นเดือน แนวทางนี้อาจจะเกิดการต่อต้านจากข้าราชการ เพราะหาเงินมาทดแทนไม่ทัน จึงเป็นหลักคิดของรัฐบาลที่โหลยโท่ยที่สุด

นายจตุพร กล่าวถึงการแต่งตั้ง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็น เลขานุการ รมว.กลาโหม และ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เป็นที่ปรึกษา รมว.กลาโหมว่า แสดงถึงการอำนวยการสร้างของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งสิ้น สิ่งนี้จึงเป็นคำตอบได้ชัดเจนว่า นายเศรษฐา ได้เป็นนายกฯ ไม่ใช่โชคช่วย แต่คือคำตอบชัดเจนถึงแนวทางความมั่นคงของประเทศ ว่า นายสุทินจะต้องทำงานผ่านเลขานุการและที่ปรึกษา ซึ่งมีความรู้ด้านความรู้มั่นคงที่เหนือกว่าอย่างแน่นอน ส่วนกรณีที่จะเปลี่ยนซื้ออาวุธ หรือเรือดำน้ำเป็นขายปุ๋ยนั้น นายสุทิน คงทำไม่ได้ตามที่พูด เพราะจีนคงไม่ยอม อีกอย่างสิ่งสำคัญ การทำงานของ รมว.กลาโหม ต้องผ่านเลขานุการรัฐมนตรี คงไม่ยอมให้การซื้อปุ่ยแทนซื้ออาวุธเกิดขึ้นอย่างง่ายดายแน่

นายจตุพร กล่าวถึงเงินดิจิทัลวอลเล็ตว่า ขณะนี้ยังไม่มีคำตอบอะไรจากรัฐบาลถึงที่มาของเงินและจะทำกันอย่างไร เมื่อประกาศไม่กู้ ไม่เอาเงินกองทุนสำรอง หรือกองทุนวายุภักษ์ จึงสงสัยและไม่ต้องการให้ไปใช้แนวทางขอเครดิตของกลุ่มทุนในจำนวน 5.6 แสนล้านมาเป็นที่มาของเงิน สิ่งสำคัญการใช้เครดิตแบบนี้จะเกิดช่องว่าง เพราะคนในพื้นที่มาทำงานใน กทม. ย่อมไม่ได้ใช้จ่ายในรัศมี 4 กม.เป็นปกติตามเงื่อนไข หากกลับบ้านหน้าเทศกาล เมื่อร่วมกันใช้เงินดิจิทัลคราวเดียวรายละหมื่น สิบคนก็เป็นแสน หรือร้อยคนก็เป็นล้านบาท แล้วร้านค้าจะมีสินค้ามารับมือได้อย่างไร แต่ที่น่ากลัวคือ จะเกิดการขายเงินดิจิทัล โดยผ่านการสำแดงเท็จในเรื่องการจ่ายซื้อสินค้า การขายเงินดิจิทัลจะโกงกันหนักยิ่งว่าจำนำข้าว แล้วกลุ่มทุนก็นำเงินไปเข้าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เพื่อขยายทุน