ชาวบ้านพบศพริมป่า ถูกตั้งข้อหายกครัว บุกร้องรัฐบาล

View icon 264
วันที่ 2 ก.พ. 2567
ข่าวเย็นประเด็นร้อน
แชร์
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - พ่อกับลูกพาวัวเดินออกกำลังกายและกินหญ้าในตอนเช้า ระหว่างทางพบศพอยู่ในร่องน้ำ รีบกลับมาแจ้งผู้ใหญ่บ้าน หลังจากนั้น 1 เดือนผ่านไป ตำรวจเข้ามาคุมพ่อ-ลูก และครอบครัวทั้ง 12 คน มีเด็กอายุไม่เกิน 5 ขวบ อยู่ 5 คน ไปที่โรงพัก โดยนำเด็ก 4 ขวบ กับเด็ก 5 ขวบ ไปแยกสอบปากคำเพียงลำพังด้วย สุดท้าย 6 คนในครอบครัว ถูกตั้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย และปิดบังซ่อนเร้นศพ

จากคดีพ่อค้าทอดมันถูกฆ่าปาดคอ-แทงซ้ำ รวม 6 แผล เสียชีวิตกลางทุ่งนา ระหว่างเดินออกกำลังกาย ในพื้นที่หมู่ 5 บ้านหนองหว้า ตำบลนาโยงใต้ อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง เมื่อปี 2566 จนตำรวจจับผู้ต้องหาในคดีนี้ได้ 6 คน แต่ผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้ง 6 คน ได้เดินทางมาขอความช่วยเหลือกับเพจสายไหมต้องรอด ว่าตนเองถูกยัดข้อกล่าวหา ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกออกหมายจับ

โดย นายสมพร ครูอ้น (พ่อ) เล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2566 ช่วง 08.00 น. ตนเอง กับ นายวุฒิพงศ์ ครูอ้น 18 ปี (ลูกชาย) พาวัวไปเดินออกกำลังกายกาย กินหญ้าตามป่าข้างทาง ระหว่างทางซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ได้ไปเจอศพผู้ชายนอนตะแคงอยู่ในคูน้ำ ตอนนั้นตนไม่ทราบว่าผู้ตายเป็นใคร เพราะเห็นเพียงครึ่งใบหน้า จึงรีบเดินกลับบ้านเพื่อจะไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน ระหว่างทางเดินกลับบ้านไปเจอผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านพอดี ตนจึงเล่าเรื่องราวที่ไปเจอมาให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฟัง และตนเองได้ให้ลูกจูงวัวกลับบ้านไปก่อน จากนั้นตนได้ย้อนกลับไปดูศพคนตายกับเพื่อนบ้านที่ชื่อ ปื๊ด พอตนไปถึงจุดที่พบศพอีกรอบ พวกผู้ใหญ่บ้านกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาถึงติด ๆ กัน ตนจึงกลับบ้านไปพักผ่อน

พอมาช่วงเย็น ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่บ้าน มาเชิญตัวให้ไปสอบปากคำที่โรงพัก หลังสอบปากคำเสร็จ ตนเองก็เดินทางกลับมาที่บ้าน หลังจากนั้น 1 อาทิตย์ ตำรวจได้เรียกไปสอบปากคำอีกครั้ง แล้วก็ปล่อยกลับบ้านมาตามเคย

ต่อมาวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ได้มีตำรวจได้โทรมาหา บอกให้เข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมที่โรงพัก แต่วันนั้นตนเองขับรถมาทำงานที่กรุงเทพฯ จึงตอบปฏิเสธไปว่าไปไม่ได้ พอมาวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 ตนเองได้โทรศัพท์ไปบอกกับตำรวจว่า ตนกลับมาบ้านที่ตรังแล้ว จากนั้นวันรุ่งขึ้นวันที่ 24 ตำรวจเข้ามาจับคนไปทั้งบ้านไปสอบปากคำที่ สภ.เมืองตรัง มีผู้ใหญ่ 7 คน เด็ก 4 ขวบ 1 คน เด็ก 5 ขวบ 2 คน เด็ก 3 ขวบ 1 คน และเด็ก 7 เดือน อีก 1 คน รวมทั้งหมดเป็น 12 คน โดยแยกกันสอบคนละห้อง และเอาเด็ก 4 ขวบ กับเด็ก 5 ขวบ ไปแยกสอบเพียงลำพังด้วย

นางสาวสุจิตรา สิกขาจารย์ (แม่) กล่าวว่า หลังถูกตำรวจจับไปสอบปากคำ เมื่อช่วงเที่ยง ตำรวจได้บอกกับตนเองว่า รู้แล้วว่าใครฆ่าผู้ตาย คนฆ่าผู้ตายคือลูกเขยของตน ที่ชื่อว่า นายเกรียงศักดิ์ โดยตำรวจบอกสาเหตุว่าลูกสาวตนเองคือ นางสาวทิพย์ จันทร์ทา ไปแอบคบชู้กับผู้ตาย ทำให้ลูกเขยตนเองโมโหไปฆ่าผู้ตาย และนำรถกระบะใส่ศพไปทิ้งในป่า ตนจึงบอกตำรวจไปว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะลูกสาวตนเองกับลูกเขยก็นอนอยู่บ้านทั้งคืนในวันเกิดเหตุ แถมกุญแจรถยนต์ก็อยู่กับสามีตนตลอด จะขับออกไปได้อย่างไร ตำรวจจึงออกจากห้องไป จากนั้นตอนเย็นตำรวจเข้ามาสอบปากคำตนอีก และได้บอกว่าสามีตนเองกับลูกตนเองยอมรับแล้วว่าเป็นคนฆ่าผู้ตาย โดยเล่าเรื่องประมาณว่า ผู้ตายไปทำไก่ที่บ้านขาหัก นายวุฒิพงศ์ ลูกชาย ตนเองจึงโมโห จนมีเรื่องมีราวกับผู้ตายในห้องครัว จากนั้น นายสมพร (สามี) ได้เอามีดมาปาดคอผู้ตาย และแทงไปที่ลำตัวหลายแผล และบอกว่าตนเองเป็นคนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

จากนั้น นายศุภกร เยาดำ (ลูกเขย) กับ นางสาวอรัญญา ครูอ้น (ลูกสาว) และ นางสาวทิพย์จันทร์ทา ครูอ้น (ลูกสาวคนเล็ก) และหลานวัย 5 ขวบกับ 4 ขวบ ช่วยกันเอาศพขึ้นรถ จักรยานยนต์พ่วงข้าง นำศพไปทิ้งที่ป่า และพยายามบังคับว่าให้ตนบอกว่า เห็นว่าสามีกับลูกฆ่ากูตาย เพื่อจะได้ปล่อยตัวไป แต่ตนไม่ทำตาม จึงถูกตำรวจคุมขัง และทำการส่งไปเรือนจำ

นางสาวสุจิตรา เล่าต่ออีกว่า ตอนนี้ครอบครัวถูกจับดำเนินคดีทั้งหมด 6 คน ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น คือ นางสาวสุจิตรา สิกขาจารย์ แม่ อายุ 49 ปี, นายสมพร ครูอ้น (พ่อ) อายุ 50 ปี, นายวุฒิพงศ์ ครูอ้น ลูกชายคนเล็ก อายุ 18 ปี นางสาวอรัญญา ครูอ้น ลูกสาวคนกลาง อายุ 28 ปี นางสาวทิพย์จันทร์ทา  ครูอ้น ลูกสาวคนโต 29 ปี, นายศุภกร เยาดำ อายุ 33 ปี (สามีนางสาวอรัญญา)

ส่วน นายเกรียงศักดิ์ (แฟนนางสาวทิพย์จันทร์) ที่ตำรวจกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าเพราะความหึงหวง ตำรวจได้ปล่อยตัวไปโดยไม่ดำเนินคดีอะไร

ต่อมา ตำรวจไปสอบถามเพื่อนบ้านถึงข้อมูลรถจักรยานยนต์พ่วงข้างที่นำศพไปทิ้ง เพื่อนบ้านได้บอกข้อมูลกับตำรวจว่า รถจักรยานยนต์พ่วงข้างที่ตำรวจกล่าวหาว่านำศพไปทิ้งนั้น ครอบครัวที่ถูกกล่าวหาพึ่งออกรถมาหลังเกิดเหตุ คือ มีการฆาตกรรมกันวันที่ 21 ตุลาคม 2566 แต่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างได้ออกมาวันที่ 28 ตุลาคม 2566 ขอตำรวจรู้ว่ารถคันนี้ไม่เกี่ยว จึงนำรถคันนี้มาคืนให้ที่บ้าน และก็ไม่ได้ยึดรถคันไหนไปตรวจสอบเลย

ตอนนี้ตนเองต้องขายวัวที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อนำเงินมาประกันตัวคนในครอบครัว แต่ก็ประกันตัวได้แค่ 3 คนเท่านั้น คือ ตนเอง กับสามี และลูกชาย อีกทั้งตอนนี้หลานตนอายุ 5 ขวบ ที่ถูกตำรวจสอบปากคำ ต้องผวาทุกครั้งที่เจอตำรวจ  กลายเป็นเด็กกลัวตำรวจไปเลย ตนเองตั้งข้อสังเกตอีกอย่าง หลานตนเองอายุ 5 ขวบ ที่ถูกสอบปากคำ มีเงินกลับมาจากโรงพัก 240 บาท เด็กบอกว่าตำรวจเป็นคนให้

ล่าสุด เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา นายนิรันดร์ เกแง้ว ผู้ร่วมก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้พาครอบครัวนี้มาพบ นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ประจำรองนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความช่วยเหลือในคดีนี้ โดย ท่านธนกฤต ได้กล่าวว่า การที่ครอบครัวนี้ตกเป็นผู้ต้องหาคดีร่วมกันฆ่าคนตาย มีความสงสัยหลายประเด็นในการตั้งข้อหาของตำรวจ

ทั้งเรื่องสถานที่เกิดเหตุฆ่ากัน และเรื่องที่ใช้อาวุธอะไรฆ่ากัน จุดพวกนี้ยังไม่ชัดเจน  และรถจักรยานยนต์ที่นำศพไปทิ้งมีดีเอ็นเอหรือเปล่า  แต่เอาละในเมื่อตำรวจส่งฟ้องไปแล้ว เราก็ต้องมาสู้กันในชั้นศาล หลังจากนี้เราจะยื่นเรื่องให้กระทรวงยุติธรรมช่วยเหลือในการ ยื่นประกันตัวคนในครอบครัวที่เหลือ และช่วยเหลือทางด้านทนายความ

ทางด้าน พ.ต.อ.รัฐศักดิ์ รักสลาม อดีตรองผู้บังคับการนครบาล 3 ที่ปรึกษาคณะทำงานนายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ กล่าวเสริมว่า การที่พนักงานสอบสวนนำเด็กอายุ 5 ขวบไปสอบเป็นพยาน ตนมองว่าไม่เหมาะสม ถึงแม้กฎหมายไม่ได้ห้ามก็ตามหากมีสหวิชาชีพอยู่ด้วย เรื่องนี้จะทำให้เกิดผลกระทบกับเด็กในอนาคต โดยเด็กโตขึ้นจะถูกล้อว่าทำให้พ่อแม่ติดคุก  ตนมองว่ามีวิธีหาหลักฐานเอาผิดกับผู้ต้องหาได้ต้องหลายวิธี ทั้งพยานบุคคลพยานวัตถุ และอื่น ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่ตนเป็นตำรวจมาไม่เคยเอาเด็ก 5 ขวบ มาเป็นพยานเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตนเองทำคดีใหญ่ ๆ มาหลายดคี

ทางด้าน พ.ต.อ. สานิตย์ พลเพชร ผกก.สภ.เมืองตรัง กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหลักฐานที่ระบุว่าครอบครัวนี้เป็นผู้ลงมือฆ่าผู้ตาย จึงได้ขอศาลอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด คดีนี้ตำรวจได้ลงพื้นที่หาข้อมูลตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ จนมีหลักฐานเพียงพอแล้ว คาดว่าจะนำสำนวนไปส่งอัยการได้โดยเร็วนี้

ส่วนที่พาเด็กอายุ 5 ขวบ กับ 4 ขวบ ไปสอบปากคำนั้น มีสหวิชาชีพร่วมสอบด้วย และการให้การของเด็กอายุ 5 ขวบ ถือว่าเป็นหลักสำคัญที่มัดตัวผู้ต้องหา ส่วนเรื่องอื่นอยู่ในสำนวนคดี ไม่สามารถเปิดเผยได้ หากทางผู้ต้องหาติดใจในการทำงานของตำรวจก็ให้มาพบตนเองได้ตลอดเวลา.