ศาลอาญา ยกฟ้อง หมอวรงค์ ไม่ผิดหมิ่นธนาธร ปมไลฟ์สดพาดพิงหนุนล้มล้างการปกครอง

View icon 25
วันที่ 12 มี.ค. 2567
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
หมอวรงค์ชนะคดี ศาลอาญา ยกฟ้องคดี ธนาธร ฟ้องหมิ่นฯ ปมไลฟ์สดพาดพิงหนุนล้มล้างการปกครอง ชี้ ที่จำเลยโพสต์เป็นการแจ้งล่วงหน้าจะดำเนินคดีคดี 112 เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย

วันนี้ (12 มี.ค.67) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.280/2564 ที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ฟ้อง นพ.วรงค์ เดชวิกรมกิจ ประธานพรรคไทยภักดี ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท กรณีที่ นพ.วรงค์ ไลฟ์สดกล่าวหาทำนองว่านายธนาธรสนับสนุนเกี่ยวข้องกับปฏิรูปสถาบัน อันเป็นการล้มล้างการปกครอง เหตุเกิดช่วงวันที่ 20 ม.ค.-4 ก.พ.64

วันนี้ นพ.วรงค์ เดินทางมาศาล โดยมีมวลชนมาให้กำลังใจ ส่วนนายธนาธรไม่ได้เดินทางมาศาล

โดย นพ.วรงค์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าฟังคำพิพากษา ระบุว่า คดีดังกล่าวมีที่มาที่ไปจากการที่ตนเองประกาศตั้งพรรคไทยภักดี เพื่อมีเป้าหมายในการต่อสู้กับพรรคก้าวไกล รวมถึงต่อสู้กับคณะก้าวหน้า และม็อบ 3 นิ้ว ที่พาดพิงถึงขบวนการล้มล้างการปกครอง นำไปสู่การฟ้องร้องถึง 2 คดี โดยคดีแรกเป็นกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล เป็นผู้ฟ้องร้องตนเอง ในข้อหาหมิ่นประมาท ส่วนคดีนี้นายธนาธร ฟ้องตนเองในข้อหาหมิ่นประมาทเช่นกัน เนื่องจากคดีนี้มาจากเหตุการณ์เดียวกัน แต่มีการแยกฟ้องคดี

สำหรับคดีที่นายพิธา หรือพรรคก้าวไกล ฟ้องตน ศาลได้พิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่าตนเองไม่ได้มีการหมิ่นประมาท แต่ทราบภายหลังว่าพรรคก้าวไกลได้ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งไม่ว่าจะมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาจากศาลอย่างไร ยืนยันว่าการต่อสู้ที่ผ่านมา เป็นการต่อสู้ในข้อเท็จจริง และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทราบว่าศาลได้ยกคำร้องในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการสนับสนุนการล้มล้างการปกครองเป็นประเด็นที่ใหญ่ ที่มีการสืบพยานมาอย่างยาวนาน และมีความเชื่อมโยงไปถึงพรรคก้าวไกล ซึ่งตนชนะคดี และศาลตัดคดีส่วนตัวที่เกี่ยวกับนายธนาธรออก จึงเหลือประเด็นที่ตนกล่าวหาว่า นายธนาธรจะถูกดำเนินคดีมาตรา 112

นพ.วรงค์ กล่าวอีกว่า ตนเชื่อมั่นในข้อมูล และพยานหลักฐานต่างๆ เพราะทุกคำพูดตนเอามาจากสื่อทั้งสิ้น ไม่ใช่สร้างหรือมโนขึ้นมาเอง ซึ่งได้ชี้ให้ศาลเห็นว่า การดำเนินคดีมาตรา 112 เกิดขึ้นจริง และตนได้เป็นพยานในการเบิกความด้วย แต่ศาลจะตัดสินอย่างไร อีกไม่นานคงรู้คำตอบ

เมื่อถามว่า หากยกฟ้องจะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นพ.วรงค์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ชอบมีคดีความ ชีวิตทางการเมืองก็เคยฟ้องร้องแค่คดีเดียว และชนะด้วย ซึ่งพวกเราเป็นนักการเมือง และบอกว่าเป็นนักประชาธิปไตยจะต้องรับฟัง โดยตนเองก็รับฟังเขามาตลอด อะไรที่ไม่ถูกต้องตนก็ได้ชี้แจง แต่เวลาที่ตนเองแสดงความคิดเห็นบนหลักการ ก็ขอให้รับฟังตนบ้าง ไม่ใช่ฟ้อง

นพ.วรงค์ ยังฝากถึงสังคมด้วยว่า การฟ้องร้องของนายธนาธรได้เรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวันเปลี่ยนแปลงการปกครองทั้งสิ้น และมีนัยยะทางการเมือง ฉะนั้นหากจะอ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็ต้องรับฟังพวกเรา อะไรที่ถูกหรือผิดก็ต้องไตร่ตรองไม่ใช่การฟ้องกลับ และคนที่มีความเห็นขัดแย้งก็ถูกเขาฟ้องร้องเยอะมาก เมื่อมีการฟ้องจะต้องมีการวางเงินไม่น้อยกว่า 200,000 บาท ที่ไม่รวมค่าทนาย ซึ่งเขาสูญเสียเงินเยอะมากในการปิดปากประชาชน และถือว่าไม่ใช่ของจริง

เมื่อถึงเวลานัด ศาลได้ออกนั่งบังลังก์อ่านคำพิพากษา โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความที่จำเลยโพสต์เป็นการแจ้งล่วงหน้าให้ทราบว่าจำเลยจะไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับโจทก์ในความผิดมาตรา 112 ในภายหน้าอันเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ทำให้ผู้ที่ได้อ่านหรือประชาชนทั่วไปเข้าใจไปได้ว่า โจทก์กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ข้อความดังกล่าวจึงมิได้มีเนื้อหาหมิ่นประมาทโจทก์การกระทำของจำเลย จึงไม่เป็นความผิดความฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา พิพากษายกฟ้อง

จากนั้นเวลา 09.45 น. นพ.วรงค์ ให้สัมภาษณ์หลังเข้าฟังคำพิพากษาว่า วันนี้นายธนาธรไม่ได้เดินทางมาที่ศาลมีเพียงผู้รับมอบอำนาจเดินทางมาเท่านั้น ซึ่งตนชนะคดีหลังจากที่เขาฟ้องเป็นครั้งที่ 3 ตนอยากบอกว่าการที่พวกคนฟ้องคนอื่น หรือฟ้องประชาชนพร่ำเพรื่อนอกจากจะเสียเงินเยอะในแต่ละคดี และเรียกค่าเสียหาย 24,062,475 บาท คนพวกนี้อ่อนประสบการณ์ วันใดที่บริหารประเทศด้วยการอ่อนประสบการณ์แบบนี้ จะทำให้ประเทศเสียหายและล่มจม

วันนี้เป็นเพียงคำพิพากษาศาลชั้นต้น เขามีสิทธิ์ที่จะอุทธรณ์ แต่ตนจะต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริง มีพยานหลักฐานไม่ใช่มีเพียงแค่พยานบุคคล และตนถูกฝึกให้พูดความจริง เวลาตนโพสต์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียจะมีเอกสารอ้างอิงหมด ซึ่งตนไม่เคยกลัวเพียงแต่เรื่องนี้ทำให้เสียเวลา นอกจากนี้ ขอให้มาพูดคุยกันอย่างลูกผู้ชายไม่ว่าจะผ่านเวทีไหนก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องมาตรา 112 ทั้งนี้ ขอฝากไปถึงประชาชน ช่วงนี้มีบางพรรคการเมืองปล่อยคลิปวิดีโอรณรงค์เชิญชวนเข้าแคมป์ สร้างเจตนารมณ์ก่อนจะให้มีการไปสมัครวุฒิสภา ซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ต้องการให้เป็นกลาง ไม่ควรมีพรรคการเมืองเข้าไปยุ่งหรือเชิญชวนเข้าแคมป์ดังกล่าว เพราะมองว่าเป็นการฝักใฝ่และทำให้เจตนารมย์ของสว. มีปัญหา