ผบ.คุกพิเศษกรุงเทพฯ เบิกความปากแรก แจงขั้นตอนส่งตัว “ทักษิณ” รักษา ด้าน วิญญัติ ยัน เป็นนักโทษเด็ดขาด ผ่านกระบวนการกฎหมายทั้งหมด

View icon 289
วันที่ 13 มิ.ย. 2568
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ผบ.คุกพิเศษกรุงเทพฯ เบิกความปากแรก แจงขั้นตอนส่งตัว ทักษิณ รักษาชั้น 14 รพ.ตำรวจ ปัดไม่รู้ประวัติรักษาจากต่างประเทศยังอยู่ไหม ศาลสั่งส่งประวัติรักษาภายใน 15 วัน พร้อมนัดไต่สวนพยานเพิ่มอีก 20 ปาก ด้าน วิญญัติ ยัน เป็นนักโทษเด็ดขาด ผ่านกระบวนการของกฎหมายทั้งหมด ปัดตอบเจ้าตัวจะมาเบิกความหรือไม่

วันนี้ (13 มิ.ย.68) ที่ศาลฎีกา สนามหลวง ศาลฎีกาฯ นัดพร้อมและไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก แต่ได้มีการส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยวันนี้ศาลได้ออกหมายเรียกให้นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขึ้นไต่สวนเป็นพยานปากแรก

เมื่อศาลออกนั่งบัลลังก์ ได้ตรวจพยานเอกสารของผู้บัญชาการเรือนจำที่ส่งมาให้ศาลพิจารณา โดยศาลได้ไต่สวนนายมานพเกี่ยวกับการส่งตัวนายทักษิณ ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจตามขั้นตอนต่างๆ ซึ่งนายมานพเบิกความต่อศาลเกี่ยวกับการเข้ารับตำแหน่งว่า ตนเพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการเรือนจำในวันที่ 20 พ.ย. 2567 และการทำหน้าที่ของผู้บัญชาการเรือนจำ รวมถึงการทำหน้าที่พัศดีเวรในการรับและส่งตัวจำเลย ไปยังสถานพยาบาลนอกเรือนจำ มีการตรวจสอบตัวตน ลายนิ้วมือ รูปพรรณ และใบรับรองแพทย์จากต่างประเทศ พร้อมหมายจำคุกของนายทักษิณ

ตอนรับตัวนายทักษิณเข้ามาเรือนจำ พ.ญ.รวมทิพย์ ได้ตรวจร่างกายนายทักษิณ และระบุว่านายทักษิณอยู่ในเกณฑ์ผู้ต้องขัง 608 ซึ่งหมายความว่ามีผู้ต้องขังอายุเกิน 60 ปี และมีโรคเรื้อรัง 8 โรค ซึ่งสามารถอยู่ดูอาการที่เรือนจำได้ แต่หากมีเหตุฉุกเฉินสามารถส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลภายนอก และทำใบส่งตัวไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติในเรือนจำ โดยภายในเรือนจำมีพยาบาล 1 คน วินิจฉัยโรคเบื้องต้น และดูแลผู้ต้องขัง 4 พันคน โดยไม่มีแพทย์ประจำ และเป็นคนละที่กับโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่านายทักษิณมีอาการความดันโลหิตสูง ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ นอนไม่หลับ แน่นหน้าอก โดยแพทย์ไม่ได้ตรวจวินิจฉัย แต่พยาบาลเป็นผู้โทรไปประสานแพทย์ประจำโรงพยาบาลราชทัณฑ์ หลังจากนั้นจึงเป็นผู้มีความเห็นให้ส่งตัวไปรักษากับโรงพยาบาลตำรวจ

เมื่อศาลซักถามถึงกระบวนการการส่งตัว นายมานพ เบิกความยอมรับว่า โรงพยาบาลราชทัณฑ์มีบริเวณรั้วติดกับเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ซึ่งปกติจะต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ทุกครั้ง การส่งตัวผู้ต้องหาไปรักษาตัวนอกสถานที่เป็นการอาศัยระเบียบกรมราชทัณฑ์ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งการส่งตัวตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มีการใช้เป็นปกติ จะแตกต่างจาก ป.วิอาญา ซึ่งเป็นการทุเลาโทษ และนับระยะเวลาการรักษาเข้าไปในวันจำขัง

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ยังเบิกความปฏิเสธต่อศาลว่า ไม่ทราบว่าประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศของนายทักษิณยังอยู่ในเรือนจำหรือไม่ ซึ่งศาลมีคำสั่งให้ส่งประวัติดังกล่าวมา แต่ถ้าไม่มีให้แจ้งศาลภายใน 15 วัน

ต่อมานายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ได้แถลงขออนุญาตซักถามพยานเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง 10 คำถาม โดยศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้นายวิญญัติถามบางคำถาม โดยมีการแจ้งคำถามต่อศาลเนื่องจากบางคำถามศาลเตรียมที่จะเรียกพยานเข้ามาไต่สวนอยู่แล้ว คำถามของนายวิญญัติเป็นการถามค้านศาลจากที่นายมานพได้เบิกความไว้

ภายหลังสอบถามเสร็จสิ้น นายวิญญัติ ได้แถลงขอนำพยานบุคคลเข้าให้ศาลไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง โดยศาลพิจารณาแล้วให้นายวิญญัติทำคำร้องเป็นเอกสารเข้ามาให้ศาลพิจารณาต่อไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากไต่สวนนายมานพเสร็จสิ้น ศาลได้อ่านรายงานกระบวนพิจารณา ศาลเห็นว่ามีความจำเป็นต้องไต่สวนพยานจำนวน 20 ปากเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง โดยกลุ่มแรกเรียกไต่สวนในวันที่ 4 ก.ค. เป็นกลุ่มแพทย์ที่เกี่ยวข้อง และวันที่ 8 ก.ค. เป็นเจ้าหน้าที่พัศดีและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ส่วนวันที่ 15 ก.ค. เป็นผู้บริหารโรงพยาบาลราชทัณฑ์และผู้บริหารเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ในจำนวนนี้มีนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนปัจจุบัน, นายนัสที ทองปลาด อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และ นายปราโมทย์ ทองศรี อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และศาลจะนัดอีกครั้งในวันที่ 18,25,30 ก.ค.

นอกจากนี้ ศาลยังให้ ป.ป.ช.ส่งรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ว่าด้วยเรื่องมติที่ประชุมแพทยสภา และใบเบิกค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่เข้าเวรควบคุมตัวนายทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ และประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศที่ราชทัณฑ์ระบุไว้ว่ามีอยู่แต่ยังหาไม่พบ ให้ส่งกลับมายังศาลภายใน 15 วัน

ด้านนายวิญญัติ กล่าวภายหลังว่า วันนี้ศาลได้กำหนดแนวทางพิจารณาชัดเจนแล้ว และได้ไต่สวนพยาน 1 ปาก คือผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร พร้อมซักถามพยาน แต่ศาลเห็นว่ายังมีข้อเท็จจริงอีกพอสมควรที่จะต้องแสวงหาความจริง และหลักฐานมาประกอบการวินิจฉัย โดยมีพยานบุคคลอีก 20 ปากที่ศาลมีหมายเรียกมาไต่สวน และศาลได้ให้โอกาสจำเลยด้วย โดยตนได้ยื่นเสนอพยานบุคคลเพื่อประกอบการชี้แจงต่อศาล ซึ่งศาลให้เขียนคำร้องเข้าไป และศาลจะพิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่

ศาลไม่ได้รับฟังกระแสสังคมอย่างเดียว แต่ฟังพยานหลักฐานและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจริงๆ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ยังบอกไม่ได้ว่าแนวทางเหล่านี้จะเป็นคุณหรือเป็นโทษ แต่ความจริงคือนายทักษิณมอบตัว ถูกหมายจำคุก และถูกนำตัวเข้าเรือนจำ ไปอยู่ในแดนที่อยู่ในบริเวณของเรือนจำ ถือว่าอยู่ในกระบวนการของการบังคับโทษเบื้องต้นแล้ว ต่อมานายทักษิณป่วย ได้รับการตรวจอย่างน้อย 3 เวลาตามมาตรฐาน แต่แพทย์เห็นว่าเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง ก่อนจะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และกระบวนการหลังจากนี้ก็เป็นการถูกจำคุกตามมาตรา 55 ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ถือว่าโรงพยาบาลเป็นสถานที่คุมขัง และยังอยู่ในความควบคุมของกรมราชทัณฑ์ เมื่อมีสิทธิประโยชน์ของผู้ต้องขัง เช่น การขอพระราชทานอภัยโทษ นายทักษิณก็ใช้กระบวนการนั้น เมื่อถึงเวลาคณะอนุกรรมการพิจารณาการพักโทษ ซึ่งจะต้องเข้าเกณฑ์เป็นผู้ถูกคุมขังและเป็นนักโทษเด็ดขาดก็ผ่านกระบวนการของรัฐมาหมด จนนายทักษิณได้รับการพักโทษออกมา และต่อมาก็ได้รับการปล่อยตัวคุมประพฤติ เท่ากับนายทักษิณผ่านกระบวนการที่เกิดขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศไทยทั้งหมด

ทั้งนี้ นายทักษิณเป็นนักโทษเด็ดขาดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน จึงผ่านการพิจารณาอภัยโทษ ได้รับการพิจารณาปล่อยตัว ส่วนจะนำนายทักษิณมาเบิกความต่อศาลฎีกาหรือไม่ ขอไม่ตอบ

ส่วนเรื่องมติแพทยสภา เป็นเรื่องหมอกับหมอก็ว่ากันไป มีข้อบังคับและจริยธรรมต่างๆ แต่แพทยสภาจะมีข้อเคลือบแคลงถึงความไม่เป็นกลาง หรือมีนัยยะใดหรือไม่ ตนไม่มีความเห็น ขอยืนยันเพียงว่าเป็นคนละประเด็นกับที่ศาลไต่สวน เนื่องจากแพทยสภาก็ไม่เคยปฏิเสธว่านายทักษิณไม่ได้ป่วย มีเพียงเรื่องอาการวิกฤติหรือไม่ ซึ่งก็ไม่ใช่ประเด็น เพราะในกฎหมายไม่มีคำนี้ ดังนั้น แพทยสภาจะมีมติอย่างไรก็เป็นเรื่องของแพทยสภา แต่ตนเชื่อว่านายแพทย์ที่รักษานายทักษิณใช้ดุลพินิจส่วนตัววินิจฉัยร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งดุลพินิจสามารถแตกต่างกันได้ในแพทย์แต่ละคน หากเป็นเรื่องผิดจริยธรรมก็อาจเป็นมาตรฐานใหม่ของแพทยสภาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม แพทย์ทั้ง 3 คน ยังสามารถเรียกร้องความเป็นธรรมผ่านการยื่นศาลปกครองได้อยู่

ส่วนประวัติการรักษาตัวของนายทักษิณที่รักษาตัวในต่างประเทศ ยืนยันว่ามีแน่นอน แต่ถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลสุขภาพที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย และนายทักษิณก็ไม่ยินดีที่จะเปิดเผยหรือให้ใครคัดลอกสำเนา แต่ได้มีการยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และแพทย์ที่ทำการตรวจร่างกายแล้ว แพทย์มีการบันทึกไว้ในประวัติผู้ป่วยแล้ว ก่อนจะคืนประวัติให้เจ้าของ ตอนนี้เมื่อศาลต้องการเห็นประวัติและร้องขอให้กรมราชทัณฑ์ส่งให้ ก็ต้องรอดูทางกรมราชทัณฑ์ ซึ่งศาลไม่ได้เรียกจากตนเอง แต่เรียกจากกรมราชทัณฑ์ แต่หากเรียกจากตนก็ต้องส่งให้ ซึ่งนายทักษิณก็มีสงวนสิทธิ์ไม่ส่งได้

ส่วนเรื่องใบเสร็จ ต้องถามนายชาญชัยกับพวกว่าได้มาได้อย่างไร หากเป็นข้อมูลส่วนตัวที่ควรต้องปกปิด ก็ขอให้มีการตรวจสอบว่านายชาญชัยได้มาได้อย่างไร แต่หากถามว่าทำไมใบเสร็จน้อย ไม่มีค่ายา ก็ขอบอกว่าโรคของนายทักษิณน้อย ไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และนายทักษิณก็รักษาตัวอยู่ต่างประเทศก่อนแล้ว ดังนั้น ไม่มีกฎหมายใดห้ามใช้หมอหรือยาจากต่างประเทศ ตนเองขอตอบแค่นี้