บิ๊กเต่า เผย หมอเตย-สามี ไม่มีสำนึก ปฏิเสธทุกเรื่อง ไม่ให้ความร่วมมือสอบปากคำ จ่อตรวจยึดทรัพย์สินหลายจังหวัด

View icon 657
วันที่ 30 พ.ค. 2568
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ไม่มีสำนึก บิ๊กเต่า เผย หมอเตย-สามี ลอยหน้าลอยตาไม่ให้ความร่วมมือสอบปากคำ ปฏิเสธทุกเรื่อง ยัน แจ้งข้อหาทุกกรรม จ่อเข้าตรวจค้นยึดทรัพย์สินในต่างจังหวัดหลายจุด

วันนี้ (30 พ.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ภายหลังจาก ตำรวจนำตัว หมอเตย และสามีมา สองสามีภรรยา คนสนิททิตแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง สอบปากคำ โดยมี พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เข้าร่วมสอบปากคำด้วย ก่อนจะออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย เกี่ยวกับก้อนเงินของวัดไร่ขิงโอนเข้าอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง และโอนต่อให้หมอเตยกับสามีโดยตรง โดยตำรวจเชื่อว่าหมอเตยใช้วิธีการดึงเงินจากอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง อ้างว่าเอาไปทำโครงการหลายโครงการ เช่น สร้างศูนย์วิปัสสนา สร้างอุทยานของวัดไร่ขิง แต่มีเงินบางส่วนก็นำไปสร้างบ้านให้แม่ที่จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งแม่ก็ไม่ได้มีอาชีพอะไร บางส่วนนำไปใช้จ่ายต่างๆ ทั้งรถ ทั้งทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เป็นชื่อของหมอเตยน่าจะเกิน 100 ล้านบาท โดยคดีนี้ยังไม่เกี่ยวข้องกับเงินสวัสดิการร้านค้าที่ตำรวจต้องขยายผลอีกส่วนหนึ่ง

ทั้งนี้ ก่อนเข้าจับกุม ชุดสืบสวนได้ติดตามข้อมูลมาตลอด แต่หมอเตยปิดโทรศัพท์มือถือ ตอนแรกคิดว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว เพราะมีการขนของออกไป แต่ด้วยความร่วมมือของผู้ช่วยเจ้าอาวาสที่ประสานงานกับตำรวจมาตลอด ก็ได้ข้อมูลว่า "หมอเตย" ใช้โทรศัพท์คนอื่นโทรมาหาคนงานในวัด ตำรวจจึงตามจากพิกัดโทรศัพท์ ก็พบว่าน่าจะอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และจากการตรวจค้นพบโทรศัพท์และซิมการ์ดที่นำไปซ่อนพร้อมทำลาย ทรัพย์สินก็ยึดรถได้หลายรายการ

อย่างไรก็ตาม จากการสอบปากคำทั้งคู่ยังไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ และยังคงปฏิเสธทุกเรื่อง ส่วนข้อต่อสู้ทางคดีที่อ้างมา ตนพิจารณาแล้วไม่ใช่ข้อต่อสู้ แต่เป็นลักษณะยังไม่สำนึกในสิ่งที่ทำไป ทรัพย์สินที่มีทั้งหมดรวมถึงรถ หมอเตยก็อ้างว่าหามาจากรายได้ด้วยตัวเอง แต่ตำรวจตรวจสอบแล้วว่าเจ้าตัวไม่ได้ทำอาชีพอะไร เปิดร้านกาแฟก็ไม่มีคน แต่กลับมีบ้านมีรถหลายคัน ไม่สอดคล้องกับฐานะ ค่ายเพลงใบเตยเรคคอร์ด รายรับก็แค่ 10,000-20,000 บาท แต่รายจ่ายหลักแสน

ส่วนทรัพย์สินที่เป็นรีสอร์ตและร้านกาแฟในจังหวัดสุโขทัย และมุกดาหาร ผู้ต้องหาก็อ้างว่าเป็นเงินของตนเองเช่นกัน แม้ตำรวจจะกางพยานหลักฐานทั้งหมดให้ทั้งคู่ดู เหมือนที่กางให้อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงดูก็ตาม แต่ครั้งอดีตเจ้าอาวาสยังมีสำนึก เมื่อทำผิดก็ยอมรับผิด แต่สำหรับผู้ต้องหาคู่นี้ปฏิเสธและยังลอยหน้าลอยตา จึงเป็นเรื่องที่ตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมาย แจ้งข้อหาตามหมายจับทุกกรรม ต่างกรรมต่างวาระ แต่หากจะถามว่าหมอเตยหลอกเอาเงินจากอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปตรวจสอบกันอีกที รวมถึงตำรวจจะต้องขยายผลติดตามทรัพย์ของผู้ต้องหาที่อยู่ในต่างจังหวัด ทั้งจังหวัดกำแพงเพชร มุกดาหาร ขอนแก่น สุโขทัย เชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัด ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ได้มาระหว่างที่หมอเตยรู้จักกับอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ตั้งแต่ประมาณปี 2551

สำหรับประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของหมอเตยกับอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงนั้น เจ้าตัวยืนยันว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวเป็นแค่ลูกศิษย์ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ตำรวจก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมหมอเตยถึงได้มีอิทธิพลกับอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงมากขนาดนี้ สั่งซ้ายหันขวาหัน แม้กับสามีของตัวเองก็ลักษณะเดียวกัน แต่เมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว ตำรวจก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย