7HD ร้อนออนไลน์

เปิดศักราชหน้าใหม่ ฟื้นสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ ครั้งประวัติศาสตร์ ในรอบ 32 ปี

การเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2565 พร้อมเข้าเฝ้าฯ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งซาอุดีอาระเบีย เพื่อหารือข้อราชการ ณ สำนักพระราชวังซาอุดีอาระเบีย พระราชวังอัล ยะมามะฮ์ ซึ่งเป็นการเยือนในระดับผู้นำรัฐบาลระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 32 ปี

โดยทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันความตั้งใจในการสะสางประเด็นที่คั่งค้างทั้งหมด และเห็นชอบที่ฟื้นความสัมพันธ์ ทางการทูต ของ 2 ประเทศ ให้กลับมาเป็นปกติอย่างสมบูรณ์ พร้อมทั้งฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคี รวมถึงการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำเมืองหลวงของ 2 ประเทศ นอกจากนี้ จะมีจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคี การติดต่อประสานงานอย่างเต็มที่ในอีกไม่นานนี้ด้วย

ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากความพยายามในหลายระดับของทั้ง 2 ประเทศ ที่มีมาอย่างยาวนาน เพื่อฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ฉันมิตร เป็นการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย

การฟื้นสัมพันธ์ของไทยและซาอุดีอาระเบียครั้งนี้ ในระยะแรกจะมีการแต่งตั้งเอกอัครราชทูต และการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีในมิติต่าง ๆ เช่น การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และ แรงงาน เป็นต้น ซึ่งการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ ยังจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ และเพิ่มโอกาสทางการค้า การลงทุน สำหรับไทยและซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอาหรับ โดยเฉพาะการเสริมสร้างบทบาทของไทยในฐานะ “ครัวโลก” เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของซาอุดีอาระเบีย และในฐานะ “ศูนย์กลางทางการแพทย์และการท่องเที่ยว” ของไทย  คาดว่านักท่องเที่ยวจากซาอุดีอาระเบียที่จะเพิ่มขึ้นหลังจากนี้ จะช่วยสร้างรายได้ให้ไทยไม่ต่ำกว่าปีละ 5,000 ล้านบาท อีกทั้งจะช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงานของไทย ในฐานะที่ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน อันดับต้นของโลก

การฟื้นฟูความสัมพันธ์ของไทยและซาอุดีอาระเบีย ยังส่งผลไปถึงการจ้างแรงงานไทยที่จะไปทำงานที่ซาอุดีอาระเบียด้วย โดยมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงมีบัญชาให้กระทรวงทรัพยากรมนุษย์ซาอุดีอาระเบีย ดำเนินการจัดการหาแรงงานดีมีฝีมือ ตั้งเป้าให้ได้ 8 ล้านคน ซึ่งไทยสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ และซาอุดีอาระเบียประสงค์ผลักดันความร่วมมือด้านแรงงานให้เกิดขึ้นโดยเร็ว โดยเฉพาะแรงงานภาคบริการ โรงแรม  สุขภาพ และอุตสาหกรรมก่อสร้างในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งช่วงก่อนการลดความสัมพันธ์ เคยมีแรงงานไทยในซาอุดีอาระเบียกว่า 300,000 คน และสร้างรายได้ส่งกลับประเทศไทยมากกว่า 9,000 ล้านบาทต่อปี

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่เดินทางไปพร้อมกับขณะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มั่นใจว่า ไทยมีแรงงานศักยภาพที่มีฝีมือสอดคล้องกับความต้องการของซาอุดีอาระเบีย และกระทรวงแรงงานยังมีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่สามารถฝึกอาชีพ และประสบการณ์ให้ตรงกับแรงงานในสาขาที่ซาอุดีอาระเบียต้องการ รวมทั้งมีบริษัทจัดหางานที่มีความน่าเชื่อถือ จดทะเบียนกับกระทรวงแรงงานภายใต้การควบคุมของกระทรวงแรงงาน  ตลอดจนจะเร่งรัดความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ ระหว่างกันในอนาคตด้วย

อีกสิ่งหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ เมื่อสายการบินซาอุดีอาระเบียประกาศผ่านทวิตเตอร์ ว่าจะกลับมาทำการบินระหว่างซาอุดีอาระเบียกับไทยอีกครั้งในเดือนพฤษภาคมปีนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทย หลังไทยเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด