วันที่ 4 พฤษภาคม 2562 เวลา 20:04 น.

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสรงพระมุรธาภิเษก ทรงรับน้ำอภิเษก ทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องขัตติยราชวราภรณ์ และเครื่องขัตติยราชูปโภค เนื่องในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562

เวลา 9.58 น. วันนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง พร้อมด้วย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ

โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 9 ที่หน้าพระที่นั่งบุษบกมาลา ทรงกราบ แล้วเสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณทางพระทวารเทวราชมเหศวร มหาดเล็กเชิญพระแสงดาบคาบค่ายตามเสด็จ ชาวพนักงานประโคมสังข์ แตร และดุริยางค์ โดยมี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ, คุณพลอยไพลิน เจนเซน และ คุณสิริกิติยา เจนเซน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ

โอกาสนี้ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระรัตนตรัยหน้าพระแท่นมณฑล ทรงกราบ ทรงศีล สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ถวายศีล ขณะเดียวกัน โหรหลวงบูชาฤกษ์ที่ศาลจตุโลกบาลทั้ง 4 และศาลพระอินทร์ ที่มณฑปพระกระยาสนาน

จากนั้น เสด็จเข้าหอพระสุราลัยพิมาน ทรงเศวตพัสตร์ ทรงสะพักขาวขลิบทอง พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลเชิญเสด็จออกจากหอพระสุราลัยพิมาน โดยมีริ้วขบวนพราหมณ์นำไปยังมณฑปพระกระยาสนาน บริเวณชาลาพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน นาวาเอกธรรมรงค์ สุวรรณกูฏ เชิญพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ รัชกาลที่ 1 ประดิษฐาน ณ บุษบกทิศตะวันออก พราหมณ์เชิญพระพิฆเนศ ประดิษฐาน ณ บุษบกทิศตะวันตก มหาดเล็กเชิญพระแสงดาบคาบค่ายตามเสด็จ

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปยังโต๊ะเครื่องสังเวยกลางหาว ทรงจุดธูปเงิน เทียนทอง สังเวยเทวดากลางหาว และเสด็จขึ้นมณฑปพระกระยาสนาน ประทับเหนือตั่งอุทุมพรราชอาสน์ แปรพระพักตร์สู่ทิศบูรพาเพื่อสรงพระมุรธาภิเษก โหรหลวงลั่นฆ้องชัย ทรงเหยียบใบอ้อ

เมื่อถึงเวลาพระฤกษ์ ระหว่างเวลา 10.09-12.00 น. พลอากาศเอกสถิตย์พงษ์ สุขวิมล เลขาธิการพระราชวัง ถวายบังคม 3 ครั้ง ขึ้นมณฑปพระกระยาสนาน เปิดพระครอบพระมุรธาภิเษกรัชกาลที่ 1 ถวาย แล้วทรงวักน้ำพระพุทธมนต์อันเจือด้วยน้ำเบญจสุทธคงคา ในแม่น้ำสำคัญทั้ง 5 ของราชอาณาจักรไทย ได้แก่ น้ำจากแม่น้ำบางปะกง แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำราชบุรี และแม่น้ำเพชรบุรี และน้ำศักดิ์สิทธิ์จากสระ 4 สระของจังหวัดสุพรรณบุรี คือ สระเกษ, สระแก้ว, สระคา และสระยมนา ซึ่งใช้เป็นน้ำสรงพระมุรธาภิเษก สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราช ตามราชประเพณีมาแต่โบราณ จากพระครอบพระมุรธาภิเษกรัชกาลที่ 1 สรงพระนลาฏ หรือหน้าผาก

จากนั้น เลขาธิการพระราชวัง กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระราชานุญาตไขสหัสธาราอันเจือด้วยน้ำเบญจสุทธคงคา และน้ำศักดิ์สิทธิ์จากสระ 4 สระของจังหวัดสุพรรณบุรี แล้วถวายบังคม 3 ครั้ง ขณะนี้ โหรหลวงลั่นฆ้องชัย, พระสงฆ์ในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระมหามณเฑียรสถาน เจริญชัยมงคลคาถา, พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร และดุริยางค์ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี, ทหารปืนใหญ่ยิงปืนมหาฤกษ์ มหาชัย มหาจักร มหาปราบยุค กระบอกละ 10 นัด ตามกำลังวันเสาร์ ที่สนามหญ้าหน้าศาลาสหทัยสมาคม ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ ฝ่ายละ 101 นัด

เมื่อสรงสหัสธาราแล้ว สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จขึ้นมณฑปพระกระยาสนาน ถวายน้ำพระพุทธมนต์ด้วยพระครอบพระกริ่งรัชกาลที่ 4 ที่พระปฤษฎางค์ หรือหลัง และถวายน้ำพระพุทธมนต์ด้วยพระครอบยันต์เดิมรัชกาลที่ 4 ที่พระหัตถ์

พลเรือเอก หม่อมเจ้าปุสาณ สวัสดิวัตน์ ถวายบังคม 3 ครั้ง เสด็จขึ้นมณฑปพระกระยาสนาน ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำอภิเษกที่พระหัตถ์ ด้วยพระเต้าเบญจคัพย์ รัชกาลที่ 5

พลตรี หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล ถวายบังคม 3 ครั้ง เสด็จขึ้นมณฑปพระกระยาสนาน ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ ด้วยพระเต้านวเคราะห์รัชกาลที่ 4 ทรงวักน้ำ และทรงแตะที่พระนลาฏ

พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ ถวายบังคม 3 ครั้ง ขึ้นมณฑปพระกระยาสนาน ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ที่พระหัตถ์ด้วยพระเต้าเบญจคัพย์รัชกาลที่ 1 ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระมหาสังข์เพชรใหญ่ พระมหาสังข์เพชรน้อย ทรงรับและทรงสรงน้ำเทพมนตร์เหนือเส้นพระเจ้า แล้วทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ ด้วยพระมหาสังข์พิธีพราหมณ์ที่พระหัตถ์ ทรงรับใบมะตูม ทรงทัด แล้วทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ด้วยพระมหาสังข์ทอง พระมหาสังข์นาค พระมหาสังข์เงิน พระมหาสังข์งา พระมหาสังข์สัมฤทธิ์ พระครอบเงินสัมฤทธิ์ แล้วทูลเกล้าทูลกระหม่อมแหวนใบกระถิน ทรงสวมที่พระอนามิกา หรือนิ้วนางขวา

จากนั้น หม่อมเจ้าฑิฆัมพร ยุคล ถวายบังคม 3 ครั้ง เสด็จขึ้นมณฑปพระกระยาสนาน ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระเต้าน้ำอภิเษกต่าง ๆ ที่มาจากแหล่งน้ำสำคัญ 108 แห่งทั่วประเทศ รวม 22 พระเต้า ทรงรับพระเต้ารดพระองค์ที่พระอังสาซ้าย-ขวา 21 พระเต้า ได้แก่ พระเต้าทองเกลี้ยง พระเต้ามงคลแปด พระเต้าเบญจคัพย์รอง รัชกาลที่ 1, พระเต้าปทุมนิมิตทอง รัชกาลที่ 1, พระเต้าปทุมนิมิตนาก รัชกาลที่ 1, พระเต้าปทุมนิมิตเงิน รัชกาลที่ 1, พระเต้าปทุมนิมิตสัมฤทธิ์ รัชกาลที่ 1, พระเต้าบัวหยกเขียว รัชกาลที่ 4, พระเต้ากลีบบัวแดง, พระเต้ากลีบบัวขาวยอดเกี้ยว รัชกาลที่ 5, พระเต้ากลีบบัวใหญ่ รัชกาลที่ 4, พระเต้าห้ากษัตริย์ทองคำ รัชกาลที่ 4, พระเต้าห้ากษัตริย์นากรัชกาลที่ 4, พระเต้าห้ากษัตริย์เงิน รัชกาลที่ 4, พระเต้าห้ากษัตริย์สัมฤทธิ์ รัชกาลที่ 4, พระเต้าห้ากษัตริย์หินอ่อน รัชกาลที่ 4, พระเต้าโมราดำ, พระเต้านวเคราะห์ รัชกาลที่ 4, พระเต้าไกรลาส รัชกาลที่ 4, พระเต้าศิลาจารึกอักษร รัชกาลที่ 4, พระเต้าศิลา 5 ห้อง รัชกาลที่ 4 ส่วนพระเต้าเทวบิฐ รัชกาลที่ 4 ทรงรดที่พระชงฆ์และพระบาท โดยเป็นครั้งแรกที่มีการนำน้ำอภิเษกจากทั่วประเทศมาใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ด้วยมีพระราชประสงค์ที่จะให้ทุกจังหวัดมีส่วนร่วมในพระราชพิธีสำคัญในประวัติศาสตร์ครั้งนี้

ต่อจากนั้น พลอากาศเอกสถิตย์พงษ์ สุขวิมล เลขาธิการพระราชวัง ถวายบังคม 3 ครั้ง ขึ้นมณฑปพระกระยาสนาน ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระมหาสังข์ทักษิณาวัฏ ทรงรับและทรงสรงน้ำเทพมนตร์เหนือเส้นพระเจ้า

เมื่อทรงสรงพระมุรธาภิเษกเสร็จแล้ว เสด็จลงจากมณฑปพระกระยาสนาน เสด็จขึ้นหอพระสุราลัยพิมาน พระราชทานใบมะตูม และแหวนใบกระถินคืนแก่มหาดเล็ก

ระหว่างนั้น เชิญพระพุทธปฏิมาชัยวัฒน์ รัชกาลที่ 1 และพระพิฆเนศ เข้าริ้วขบวนเชิญไปประดิษฐาน ณ พระแท่นมณฑล พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องบรมราชภูษิตาภรณ์ ทรงฉลองพระองค์ครุย สายสะพายนพรัตน์ราชวราภรณ์ สายสร้อยจุลจอมเกล้า เสด็จออกจากหอพระสุราลัยพิมาน ทรงพระดำเนินไปยังพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับบนพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ ภายใต้พระบวรเศวตฉัตร แปรพระพักตร์สู่บูรพาทิศเป็นปฐม

พันโทสมชาย กาญจนมณี ปฏิบัติหน้าที่สมุหพระราชพิธี ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระเต้าเบญจคัพย์ รัชกาลที่ 1 ทรงถือด้วยพระหัตถ์ซ้าย สำหรับทรงรับน้ำอภิเษกโดยทักษิณาวรรตจากทิศทั้งแปด ซึ่งเป็นน้ำจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ในกรุงเทพมหานครและ 76 จังหวัด รวม 108 แหล่ง ซึ่งได้พลีกรรม ตักไปประกอบการพระราชพิธีแล้วมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ให้ทรงแผ่พระราชอาณาปกครองประชาชนในทิศทั้ง 8 ตามลำดับ

พลเรือเอกหม่อมเจ้าปุสาณ สวัสดิวัตน์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล แล้วทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำอภิเษกด้วยถ้วยศิลาจารึกอักษรพุทธคาถา ณ ทิศบูรพา หรือทิศตะวันออก เป็นปฐม ทรงรับด้วยพระเต้าเบญจคัพย์ รัชกาลที่ 1 ด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระครอบเฟือง สัมฤทธิ์ บรรจุน้ำเทพมนตร์ ทรงจุ่มพระหัตถ์ขวาลงในพระครอบเฟือง สัมฤทธิ์ แล้วทรงลูบที่พระนลาฏ และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ด้วยพระมหาสังข์พิธีพราหมณ์ที่พระหัตถ์ขวา ทรงลูบพระเศียร แล้วทรงรับใบมะตูมทรงทัด พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์

จากนั้น ทรงแปรที่ประทับเพื่อทรงรับน้ำอภิเษกและน้ำเทพมนตร์ ทิศอาคเนย์ หรือทิศตะวันออกเฉียงใต้ หม่อมเจ้ามงคลเฉลิม ยุคล เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำอภิเษก พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระครอบเฟืองสัมฤทธิ์บรรจุน้ำเทพมนตร์ และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ด้วยพระมหาสังข์เพชรใหญ่ ทรงสรงเหนือเส้นพระเจ้า

ทรงแปรที่ประทับ เพื่อทรงรับน้ำอภิเษกและน้ำเทพมนตร์ทิศทักษิณ หรือทิศใต้ พลโท หม่อมเจ้าเฉลิมศึก ยุคล เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำอภิเษก พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระครอบเฟืองสัมฤทธิ์บรรจุน้ำเทพมนตร์ และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ด้วยพระมหาสังข์เพชรน้อย ทรงสรงเหนือเส้นพระเจ้า ทรงแปรที่ประทับ เพื่อทรงรับน้ำอภิเษกและน้ำเทพมนตร์ทิศหรดี หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำอภิเษก พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระครอบเฟืองสัมฤทธิ์บรรจุน้ำเทพมนตร์ และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ด้วยพระมหาสังข์ทอง ทรงลูบพระเศียร

ทรงแปรที่ประทับ เพื่อทรงรับน้ำอภิเษกและน้ำเทพมนตร์ทิศประจิม หรือทิศตะวันตก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำอภิเษก พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระครอบเฟืองสัมฤทธิ์บรรจุน้ำเทพมนตร์ และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ด้วยพระมหาสังข์เงิน

ทรงแปรที่ประทับ เพื่อทรงรับน้ำอภิเษกและน้ำเทพมนตร์ทิศพายัพ หรือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำอภิเษก พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระครอบเฟืองสัมฤทธิ์บรรจุน้ำเทพมนตร์ และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ด้วยพระมหาสังข์นาก

ทรงแปรที่ประทับ เพื่อทรงรับน้ำอภิเษกและน้ำเทพมนตร์ทิศอุดร หรือทิศเหนือ นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำอภิเษก พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระครอบเฟืองสัมฤทธิ์บรรจุน้ำเทพมนตร์ และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ด้วยพระมหาสังข์งา

ทรงแปรที่ประทับ เพื่อทรงรับน้ำอภิเษกและน้ำเทพมนตร์ทิศอีสาน หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นายจรัส สุวรรณเวลา ราชบัณฑิต เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำอภิเษก พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระครอบเฟืองสัมฤทธิ์บรรจุน้ำเทพมนตร์ และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ด้วยพระมหาสังข์สัมฤทธิ์

แล้วทรงแปรที่ประทับทิศบูรพาหรือทิศตะวันออกอีกครั้งแทนทิศกลาง เพื่อทรงรับน้ำอภิเษกและน้ำเทพมนตร์ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำอภิเษกสำหรับทิศกลาง ทรงรับด้วยพระเต้าเบญจคัพย์ รัชกาลที่ 1 ด้วยพระหัตถ์ซ้าย และพระราชทานพระเต้าเบญจคัพย์ รัชกาลที่ 1 คืน พันโทสมชาย กาญจนมณี พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระครอบเฟืองสัมฤทธิ์บรรจุน้ำเทพมนตร์ ทรงจุ่มพระหัตถ์ขวาลงในพระครอบเฟืองสัมฤทธิ์แล้วทรงลูบที่พระนลาฎ และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ด้วยพระมหาสังข์พิธีพราหมณ์ ที่พระหัตถ์ขวา ทรงลูบพระเศียร

จากนั้น พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย แตร มโหระทึก และดุริยางค์

ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเข้าริ้วขบวนไปยังพระที่นั่งภัทรบิฐ คณะพราหมณ์โปรยข้าวตอกดอกไม้นำเสด็จ เมื่อประทับบนพระที่นั่งภัทรบิฐ ภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร แปรพระพักตร์สู่ทิศบูรพา พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายน้ำเทพมนตร์ที่พระหัตถ์ด้วยพระมหาสังข์พิธีพราหมณ์ ถวายใบมะตูมทรงทัด พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลา แกว่งบัณเฑาะว์ แล้วกล่าวเวทสรรเสริญเปิดศิวาลัยไกรลาส พราหมณ์เปิดศิวาลัยไกรลาสจบ กราบบังคมทูลถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องขัตติยราชวราภรณ์ และเครื่องขัตติยราชูปโภค ตามลำดับ ได้แก่ พระสุพรรณบัฏจารึกพระปรมาภิไธย ขณะนั้น พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย แตร มโหระทึก และดุริยางค์ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ทหารปืนใหญ่ยิงปืนมหาฤกษ์ มหาชัย มหาจักร มหาปราบยุค กระบอกละ 10 นัด ตามกำลังวันเสาร์ ที่สนามหญ้าหน้าศาลาสหทัยสมาคม ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ 101 นัด พระสงฆ์ในพระอารามทั่วราชอาณาจักรย่ำระฆัง ถวายชัยมงคล พระอารามละ 7 ลา

เมื่อสุดเสียงประโคม พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระสังวาลพราหมณ์ธุรำ ทรงรับแล้วทรงสวมพระเศียร แล้วทรงสอดพระหัตถ์ขวา พระสังวาลนพรัตนราชวราภรณ์ ทรงรับแล้วทรงสวมพระเศียร แล้วทรงสอดพระหัตถ์ซ้าย พระสังวาลพระนพ ทรงรับแล้วทรงสวมพระเศียร แล้วทรงสอดพระหัตถ์ซ้าย พระมหาพิชัยมงกุฎ ทรงรับแล้วทรงสวม พราหมณ์เป่าสังข์ ภูษามาลาแกว่งบัณเฑาะว์ ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย แตร มโหระทึก และดุริยางค์

แล้วทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย พระแสงขรรค์ชัยศรี, พระแส้จามรี, พระแส้ขนหางช้างเผือก, ธารพระกรชัยพฤกษ์, พัดวาลวิชนี พระธำมรงค์รัตนวราวุธ ทรงรับแล้วทรงสวมพระดัชนีพระหัตถ์ขวา พระธำมรงค์วิเชียรจินดา ทรงรับแล้วทรงสวมพระดัชนีพระหัตถ์ซ้าย พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ สอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวาย พานพระขันหมากทองคำลงยาองค์ใหญ่เครื่องพร้อม, พระสุพรรณศรีบัวแฉก, พระมณฑปทองคำลงยาพร้อมพานรองมีพระจอก, พระเต้าทักษิโณทกทองคำลงยาองค์เล็ก, พระแสงดาบฝักทองเกลี้ยง, ธารพระกรเทวรูป, พระแสงจักร, พระแสงตรีศูล, พระแสงหอกเพชรรัตน, พระแสงดาบเชลย, พระแสงธนู, พระแสงดาบเขน, พระแสงปืนข้ามแม่น้ำสะโตง และพระแสงของ้าวแสนพลพ่าย

ต่อจากนั้น พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ ถวายอนุษฏุภศิวมนตร์จบ พราหมณ์เป่าสังข์ และถวายอนุษฏุภวิษณุมนตร์จบ พราหมณ์เป่าสังข์ พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ กราบถวายบังคม 3 ครั้ง และถวายพระพรชัยมงคล

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการพระราชทานอารักขาแก่ประชาชนชาวไทย

พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ รับพระปฐมบรมราชโองการว่า "ข้าพระพุทธเจ้าขอรับพระบรมราชโองการสุรสิงหนาท ประถมธรรมิกราชวาจา ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ"

ทรงหลั่งทักษิโณทก ตั้งพระราชสัตยาธิษฐานจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจปกครองราชอาณาจักรไทย โดยทศพิธราชธรรมจริยา

จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ อาลักษณ์อ่านประกาศ พระบรมราชโองการสถาปนา สมเด็จพระราชินี ให้ทรงดำรงราชฐานันดรศักดิ์ เป็น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จสู่หน้าพระที่นั่งภัทรบิฐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ พระราชทานใบมะตูม ทรงเจิม และพระราชทานพระสุพรรณบัฏ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตน์ราชวราภรณ์ และเครื่องราชอิสริยยศราชูปโภคแก่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

จากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปประทับพระราชอาสน์เบื้องซ้ายพระที่นั่งภัทรบิฐ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเปลื้องพระมหาพิชัยมงกุฎ และพระธำมรงค์รัตนวราวุธ พระธำมรงค์วิเชียรจินดา

จากนั้น ทรงโปรยดอกพิกุลทอง พิกุลเงิน พระราชทานแก่พราหมณ์ พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ถอดฉลองพระบาทเชิงงอน เสด็จลงจากพระที่นั่งภัทรบิฐ ทรงโปรยดอกพิกุลทอง พิกุลเงิน พระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ และผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท

จากนั้น เสด็จออก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย มหาดเล็กเชิญพระแสงดาบคาบค่าย ตามเสด็จ

สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร ดับเทียนชัย พระสงฆ์ทั้งนั้น เจริญคาถาดับเทียนชัย ชาวพนักงานประโคมฆ้องชัย สังข์ แตร และดุริยางค์

ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมแด่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระราชาคณะ และพระราชาคณะ 80 รูป ที่มาเจริญชัยมงคลคาถา และถวายพรพระ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา ทรงกราบพระพุทธรูปที่หน้าพระที่นั่งบุษบกมาลา เสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ

เวลา 14.55 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ทรงฉลองพระองค์ครุย สายสะพายนพรัตน์ราชวราภรณ์ สายสร้อยจุลจอมเกล้า เสด็จออก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมาน ทางพระทวารเทวราชมเหศวร มีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัณณาพรรณวดี, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยา, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์, พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ, คุณพลอยไพลิน เจนเซน และ คุณสิริกิติยา เจนเซน ทรงยืนและยืน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ด้านตะวันตกหน้าแถวพระบรมวงศานุวงศ์ ทั้งนี้มีผู้แทนคณะทูตตานุทูต และอุปทูต พร้อมคู่สมรส และที่มาจากราชอาณาจักร หรือเทียบเท่าร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ภายใต้นพปฏลมหาเศวตฉัตร แวดล้อมด้วยเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศ ทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎบนพระที่นั่ง เจ้าพนักงานรัวกรับและเปิดพระวิสูตร ชูพุ่มดอกไม้ทองให้สัญญาณ ชาวพนักงานประโคมกระทั่ง แตร มโหระทึก ทหารกองเกียรติยศ ถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ขณะนั้นทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ 21 นัด เมื่อสุดเสียงประโคมแล้ว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จออกยังหน้าพระวิสูตร กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล ในนามพระบรมวงศานุวงศ์ 

จากนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลพระกรุณา ถวายพระพรชัยมงคล ในนามคณะรัฐมนตรี ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือนและราษฎรทุกหมู่เหล่า 

ต่อจากนั้น นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล ในนามสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

และ นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา กราบบังคมทูลพระกรุณา ถวายพระพรชัยมงคล ในนามข้าราชการตุลาการ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสตอบ

จบแล้ว เจ้าพนักงานรัวกรับ และปิดพระวิสูตร เจ้าพนักงานชูพุ่มดอกไม้ทองให้สัญญาณ ชาวพนักงานประโคมกระทั่ง แตร มโหระทึก ทหารกองเกียรติยศ ถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ในการเสด็จพระราชดำเนินออกมหาสมาคมวันนี้ เจ้าหน้าที่เทียบพระที่นั่งราเชนทรยาน ที่เกยพระที่นั่งดุสิดาภิรมย์ รถยนต์พระที่นั่งเทียบที่หน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง และเทียบเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ที่ท่าราชวรดิฐ

เวลา 16.38 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกจากพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ทรงฉลองพระองค์บรมราชภูษิตาภรณ์ สายสะพายนพรัตน์ราชวราภรณ์ สายสร้อยจุลจอมเกล้า ทรงสวมพระมาลาเส้าสูง เสด็จลงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทางพระทวารเทวราชมเหศวร และเสด็จไปยังเกย หน้าพระทวารเทเวศรรักษา ประทับพระราชยานพุดตานทอง เสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนพระบรมราชอิสริยยศ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก ยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ยาตราริ้วขบวน

จากนั้น เจ้าพนักงานรัวกรับให้สัญญาณ ชาวพนักงานประโคมกระทั่งมโหระทึก สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง ปี่ และกลองชนะ ทหารกองเกียรติยศ ถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ริ้วขบวนจัดกำลังพลทั้งสิ้น 343 นาย จาก 9 ส่วนราชการ

เส้นทางจากเกย หน้าพระทวารเทเวศรรักษา พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ไปยังประตูเกย วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ระยะทางประมาณ 200 เมตร จัดริ้วขบวนฯ ตามโบราณราชประเพณี ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนนำริ้วขบวน ฯ หน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เป็นผู้นำริ้ว, ตำแหน่งประตูหน้า ซ้าย ขวา เป็นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง, ธงสามชาย 1 คู่, สารวัตรกลองมโหระทึก กลองมโหระทึก เป็นทหารจากกรมพลาธิการทหารบก, สารวัตรกลอง และกลองชนะเงินกลองชนะทองขนาบซ้ายขวา ด้านละ 20 นาย จ่าปี่ แตรฝรั่ง แตรงอน สังข์ ฉัตร เครื่องสูงหักทองขวางหน้า ข้างซ้ายและขวา ประกอบด้วย ฉัตรหักทองขวา 5 ชั้น บังแทรก ฉัตรหักทองขวาง 7 ชั้น ตอนกลาง เป็นกำกับพระแสงหว่างเครื่องหน้า เชิญพระแสงหว่างเครื่องหน้า 6 นาย ปิดท้ายส่วนนำ ด้วยพระเกาวพ่าห์ ด้านขวาเป็นพระเสมาธิปัต ด้านซ้ายเป็นพระฉัตรชัย

ส่วนพระราชยานพุดตานทองที่ประทับ ประกอบด้วย ผู้บอกสัญญาณ พราหมณ์เป่าสังข์ 1 คู่ และกรับสัญญาณ, ตำรวจหลวงนำเสด็จ 8 นาย นายเชิญธงชัยราชกระบี่ยุทธ และนายเชิญธงชัยพระครุฑพ่าห์ กำกับพระที่นั่งทรง ผู้ควบคุมคนแบกหามพระที่นั่งทรง พระแสงรายตีนตอง พระที่นั่งพุดตานทองที่ประทับพระมหากษัตริย์ มี 16 คนแบกหาม พระกลด บังสูรย์ พัดโบก พระทวย พระแสงรายตีนตอง อินทร์เชิญพุ่มเงิน พรหมเชิญพุ่มทอง แถวแซงเสด็จ ขนาบซ้ายขวา รวม 24 นาย หลังที่ประทับ ถือม้ารองพระที่นั่ง ฉัตรเครื่องสูงหักทองขวางหลัง มหาดเล็กเชิญเครื่องตาม ประตูหลังเป็นรูปขบวนที่ย่อจากขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค ให้สัญญาณการเดินด้วยจังหวะกลอง

สำหรับเครื่องสูง เป็นหนึ่งในสิ่งประกอบพระบรมราชอิสริยยศในขบวนเสด็จพระราชดำเนินที่ใช้ประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามโบราณราชประเพณี มีทั้งหมด 8 สิ่งที่ใช้ประดับพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ ประกอบด้วย ฉัตร 7 ชั้น, ฉัตร 5 ชั้น, ฉัตร 3 ชั้น, พระกลด, บังแทรก, บังสูรย์, จามร และพัดโบก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ถ้าเป็นเครื่องสูงชนิดพระอภิรุมชุมสาย บังแทรก พระกลด บังสูรย์ ที่ใช้ประดับพระเกียรติยศพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระอัครมเหสี และสมเด็จพระยุพราช จะระบุเป็น เครื่องปักหักทองขวาง แต่สำหรับชั้นเจ้าฟ้าและชั้นพระองค์เจ้า จะเป็นเครื่องปักทองแผ่ลวดฉลุลาย โดยฉัตรจะมีรูปร่างคล้ายร่มที่ซ้อนกันขึ้นเป็นชั้น ๆ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นผู้มีอำนาจ และเป็นเครื่องหมายมงคลที่สำคัญ ตามคติความเชื่อของอินเดีย ใช้สำหรับแขวน ปัก ตั้ง หรือเชิญเข้ากระบวนแห่เป็นเกียรติยศ มีหลักฐานว่าไทยใช้ฉัตรเป็นเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศ สำหรับพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่สมัยอยุธยา

สำหรับฉัตรเครื่องสูง หรือ พระอภิรุมชุมสาย เป็นฉัตรเครื่องสูงสำรับหนึ่ง ประกอบด้วย ฉัตร 7 ชั้น ฉัตร 5 ชั้น และชุมสาย หรือ ฉัตร 3 ชั้น ทั้งนี้ ฉัตรพระอภิรุมชุมสาย เป็นฉัตรคนละประเภทกับฉัตรในหมวดเศวตฉัตร ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งในด้านลักษณะ สีสัน และประเภทการใช้

พระกลด หมายถึง ร่ม ใช้บังแดด บังฝน มีลักษณะเป็นฉัตรชั้นเดียว มักใช้เมื่อพระมหากษัตริย์ หรือพระราชวงศ์เสด็จออกนอกพระราชฐานในพิธีการต่างๆ

บังแทรก เป็นเครื่องสูงที่ใช้กั้นบังแดด มีลักษณะคล้ายพัด รูปแบนกลม มีขอบรูปจัก ๆ โดยรอบเหมือนใบสาเก มียอดแหลม ใช้สำหรับปัก หรือแห่เสด็จพระราชดำเนิน เชิญอยู่ระหว่างฉัตร 5 ชั้นทั้งหน้าและหลัง พัดโบก เป็นพัดที่ทำด้วยใบตาล มี 2 ลักษณะ คือ พัดโบกรูปช้อย กับพัดโบกรูปมน โดยพัดโบกรูปช้อย ปลายพัดจะมีลักษณะงอนช้อยขึ้น ใช้สำหรับเชิญในริ้วขบวนเสด็จพระราชดำเนินพยุหยาตราทางสถลมารค ส่วนพัดโบกรูปมน ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ประทับ ณ พระที่นั่งพุดตาน กาญจนสิงหาสน์ บนพระราชบัลลังก์

โดยริ้วขบวนจะเคลื่อนจากเกยหน้าพระทวารเทเวศร์รักษา ไปตามถนนอมรวิถี เลี้ยวออกประตูพิมานไชยศรี ไปตามถนนจักรีจรัณย์ ผ่านหน้าศาลาสหทัยสมาคม ไปเทียบเกยพลับพลา แล้วทรงพระดำเนินไปยังชานพระอุโบสถ

ในการนี้ รักษาการผู้อำนวยการกองพระราชพิธีกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงพระราชอุทิศเครื่องราชสักการะ ต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน ธูปเงินเทียนทอง ให้ผู้แทนกระทรวงมหาดไทยเชิญไปถวายเป็นพุทธบูชาปูชนียสถานสำคัญตามต่างจังหวัด ทั่วประเทศ 10 แห่ง ได้แก่ พระพุทธบาท วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี, พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก, พระบรมธาตุ วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย, พระธาตุหริภุญชัย วัดพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน, พระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวดนครปฐม, พระบรมธาตุ วัดพระบรมธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช, พระธาตุพนม วัดพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม, พระธาตุ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่, พระธาตุเชิงชุม วัดพระธาตุเชิงชุม จังหวัดสกลนคร, พระธาตุไชยา วัดพระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะ และถวายต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน บูชาพระพุทธพระมหามณีรัตนปฏิมากร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาไลย แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการทองใหญ่หน้าธรรมาสน์ศิลา ทรงศีล สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ถวายศีลจบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภก

พระสงฆ์ 80 รูป เปล่งสังฆวาจาว่า สาธุ ขึ้นพร้อมกัน 3 ครั้ง สำหรับการประกาศพระองค์เป็นพุทธศาสนูปถัมภกนั้น จะแสดงถึงการประกาศว่าพระองค์จะทรงทะนุบำรุงพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง และให้ความช่วยเหลืออุปถัมภ์แก่ศาสนาทุกศาสนา

จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำเนินไปยังปราสาทพระเทพบิดร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะ และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย กราบถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช เพื่อความเป็นสวัสดิมงคล และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ที่ทรงอุทิศพระองค์ ในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และประชาชน ทำให้ชาติไทยมีเอกราช มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นตราบทุกวันนี้

ปราสาทพระเทพบิดร เดิมชื่อว่า พุทธปรางค์ปราสาท พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างขึ้นในปีพุทธศักราช 2398 แล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมกับงานฉลองพระนครครบ 100 ปี จนกระทั่งรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้อัญเชิญพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 5 พระองค์มาประดิษฐาน และให้แปลงนามเรียกว่า ปราสาทพระเทพบิดร ทั้งมีพระบรมราชโองการให้มีการถวายบังคมพระบรมรูป เป็นประจำทุกปีในวันที่ 6 เมษายน ซึ่งทรงกำหนดให้เป็นวันจักรี ตั้งแต่พุทธศักราช 2461 จากนั้นมีการประดิษฐานพระบรมรูปเพิ่มตามกาลเปลี่ยนรัชสมัย

จากนั้น เมื่อทรงกราบถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปยังเกยหลัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ประทับพระราชยานพุดตานทองเข้าขบวนราบใหญ่ ยาตรา ไปยังเกยพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท เสด็จพระราชดำ