ตำรวจยังไม่สรุปปมเงิน 6 ล้านบาท ใครถูก-ใครผิด

วันที่ 2 เม.ย. 2566 เวลา 04:14 น.

สนามข่าวเสาร์-อาทิตย์ - กรณีการตรวจสอบเงิน 6 ล้านบาท ตอนนี้ตำรวจเรียกพยานอย่างน้อย 4 ปาก ไปสอบปากคำ พบว่าผู้ให้การให้การแยกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งที่ระบุว่าเป็นเงินของ "สารวัตรซัว" และฝั่งที่บอกว่าเป็นเงินจากการระดมทุน ทำธุรกิจอาบอบนวด ซึ่งสัปดาห์หน้าพนักงานสอบสวนจะประชุมเพื่อวางแนวทางการทำงานในคดีนี้ต่อ หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำเงินจำนวน 6 ล้านบาท ส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม เพื่อตรวจสอบที่มาที่ไปของเงิน ตามที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจมาจาก "สารวัตรซัว" และอาจเข้าข่ายผิดฐานฟอกเงิน พันตำรวจเอก เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยความคืบหน้ากรณีนี้ โดยบอกว่า ตอนนี้ได้เรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำแล้วอย่างน้อย 4 คน โดยมีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ และ ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ที่ให้ข้อมูลสอดคล้องไปในทางเดียวกันว่า เงินก้อนนี้เกี่ยวพันกับ "สารวัตรซัว" ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเครือข่ายเว็บฯ พนันออนไลน์ ส่วนอีก 2 คน คือ นายสันธนะ ประยูรรัตน์ และ นายชูวิทย์ ให้การสอดคล้องกันว่าเงินจำนวนนี้ มาจากกลุ่มทุนที่ต้องการเปิดอาบอบนวด "ลาลิซ่า" และฝากให้นำไปทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลของธุรกิจ และยังมีพยานที่เกี่ยวข้องอีกอย่างน้อย 4 ปาก คือ นายพล "ป", นายพล "อ", นายเปา, นายศักดิ์ ที่มีข้อมูลระบุว่าเกี่ยวข้อง หรือถูกพูดถึงว่าอยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นด้วย ต้องเรียกมาชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมด ขณะเดียวกันพนักงานสอบสวน จะนัดหมายประชุมหารืออีกครั้งในสัปดาห์หน้า เพื่อวางกรอบการทำงาน ทั้งการพิจารณาคำให้การเปรียบเทียบกับที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน หรือที่เคยไลฟ์สด รวมถึงตรวจสอบเส้นทางการเงิน ดูความเชื่อมโยงในด้านต่าง ๆ จึงจะพิจารณาได้ว่าสุดท้ายแล้วใครถูก หรือใครผิด ด้าน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ ได้ให้ความเห็นถึงกรณีที่มีผู้ให้การแยกออกเป็น 2 ฝั่ง ระบุว่าในทางกฎหมายแล้ว พนักงานสอบสวนต้องแสวงหาพยานหลักฐานอื่น เช่น หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี หรือเส้นทางการเงิน มาใช้พิสูจน์ความจริง ที่สำคัญต้องสอบปากคำพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ เพราะจะช่วยชี้ชัดได้ว่าเงิน 6 ล้านบาท มีที่มาที่ไปอย่างไร ส่วนความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน ต้องไม่ลืมว่ามีมูลฐานความผิดอื่นอีกหลายรายการ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการพนันฯ เท่านั้น ส่วนความเคลื่อนไหวในเพจเฟซบุ๊กของ นายชูวิทย์ แม้จะไม่ได้โพสต์แฉ หรือเปิดเผยข้อมูลใหม่ ๆ แต่ก็ได้โพสต์ข้อความเชิงเปรียบเทียบถึงเหตุการณ์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีการพูดถึงคนที่ออกมาแถลงข่าว ออกมาให้สัมภาษณ์ หรือโจมตีตนเอง แม้ไม่ได้ระบุชื่อตรง ๆ ว่าหมายถึงใคร แต่ถ้าติดตามข่าวนี้ ก็พอจะเดาคนที่นายชูวิทย์ต้องการพูดถึงออก ที่สำคัญคือการเปรียบเทียบว่า คนเหล่านี้ไม่ต่างจากผี และตนเองก็เป็นผีประเภทหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่เป็นผีที่กล้ายอมรับว่าสิ่งที่ทำ หรือสิ่งที่เคยทำไปในอดีต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม