จบลงด้วยดี ที่ดินทางเข้าเกาะหลีเป๊ะ ยุติแล้ว

วันที่ 18 มี.ค. 2566 เวลา 04:18 น.

สนามข่าวเสาร์-อาทิตย์ - จบลงด้วยดีกับข้อพิพาทปิดทางเข้าโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง บนเกาะหลีเป๊ะ ที่จังหวัดสตูล หลังถูกเอกชนล้อมรั้วปิด ล่าสุดคนท้องถิ่นเตรียมลงขันกัน 700,000 บาท ซื้อที่ดินทางเข้าเพิ่ม หวังตัดเป็นถนนสาธารณะ หลังจากที่เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานลงพื้นที่หลายรอบ เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทบนเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล โดยเฉพาะบริเวณโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง ซึ่งถูกเอกชนสร้างรั้วปิดทางเข้า-ออก จนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนบนเกาะ ล่าสุด การเจรจาเป็นผล เอกชนยอมรื้อถอนรั้วที่รุกล้ำพื้นที่โรงเรียนออก พร้อมทั้งทุบรั้วที่ปิดกั้นทางเข้า-ออกแล้ว และจะสร้างแนวรั้วตามแนวเขตที่กรมธนารักษ์เป็นผู้ชี้ขาดใหม่ ขณะเดียวกัน มีการเจรจาเพื่อจะทำถนนสาธารณะเส้นใหม่ โดยโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง จะมอบที่ดินให้สร้างถนนสาธารณะ 2 ส่วน คือส่วนแรกบริเวณด้านหลังโรงเรียน ให้พื้นที่ความกว้าง 3.5 เมตร ความยาว ประมาณ 20 เมตร และอีกส่วนด้านข้างโรงเรียนฝั่งที่ติดกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเกาะหลีเป๊ะ โดยทางโรงเรียนให้พื้นที่ 1.5 เมตร ทางโรงพยาบาล ให้พื้นที่ 2 เมตร และยังมีอีกหนึ่งส่วนที่ติดที่ดินเอกชน ทางสมาคมผู้ประกอบการเกาะหลีเป๊ะ ได้สมทบทุนกันซื้อที่ดิน กว้าง 3 เมตร ยาว 10 เมตร ในราคา 700,000 บาท ทำถนนเส้นใหม่ ตัดผ่านหลังโรงเรียน และระหว่างโรงเรียนกับโรงพยาบาล ยาวไปถึงหน้าหาดเพื่ออำนวยความสะดวก ให้กับชาวบ้านบนเกาะหลีเป๊ะ ขั้นตอนจากนี้ คือทั้งโรงเรียนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จะต้องทำเรื่องคืนที่ดินให้กรมธนารักษ์ เพื่อให้กรมธนารักษ์ส่งเจ้าหน้าที่โยธาฯ มารังวัดและออกแบบการสร้างถนน ส่วนงบประมาณ ทางฝ่ายโยธาฯ จะสนับสนุนเงินเบื้องต้น 500,000 บาท หากไม่เพียงพอ ก็ยังสามารถยื่นเสนอขอมาทางจังหวัดได้อีก โดยวันนี้ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าทีมแก้ปัญหาข้อพิพาทเกาะหลีเป๊ะ ได้เรียกทุกหน่วยงานมาประชุม เพื่อแจ้งความคืบหน้าการแก้ปัญหาพื้นที่ข้อพิพาทของโรงเรียน ที่การเจรจาบรรลุข้อตกลงแล้ว ส่วนการรุกล้ำลำรางสาธารณะ และการบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ อยู่ระหว่างดำเนินการ ทั้งนี้ยังได้ย้ำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งรื้อถอนโรงแรมที่บุกรุกที่ดิน พร้อมกับเพิกถอนสถานะที่ดินโฉนดแปลงที่ 11 ให้แล้วเสร็จในสัปดาห์หน้า นอกจากนี้ ผู้ประกอบการเรือประมง 27 ลำ ที่ถูกจับกุม หลังเข้ามาทำประมงในเขตพื้นที่ทับซ้อนของอุทยานฯ และถูกแจ้งความดำเนินคดี ได้เดินทางเข้าพบรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอคำชี้แนะในการทำประมง โดยรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแนะนำให้ปรึกษากับผู้ราชการจังหวัด เพราะเป็นผู้กำกับนโยบายโดยตรง