อดีตอธิบดีอุทยานฯ รัชฎา เปิดใจครั้งแรก ยันไม่ได้เรียกรับผลประโยชน์ ย้ำเป็นเงินที่ถูกนำมาบริจาค

วันที่ 23 ก.พ. 2566 เวลา 15:17 น.

อดีตอธิบดีอุทยานฯ รัชฎา เปิดใจครั้งแรก ยันไม่ได้เรียกรับผลประโยชน์ ย้ำเป็นเงินที่ถูกนำมาบริจาค คาดปมขัดแย้งตรวจสอบ ชัยวัฒน์ โครงการปลูกป่าไม่โปร่งใส วันนี้(23 ก.พ.2566) นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยหลังจากเข้าไต่สวนมูลฟ้องที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในคดีที่ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ผบก.ปปป., นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) กับพวก รวม 7 คน ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ความผิดต่อเสรีภาพ ,ทำพยานหลักฐานเท็จฯ, เจ้าพนักงานแกล้งให้ต้องรับโทษทางอาญา บุกรุก ซ่องโจร, พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยวันนี้ได้ให้การชี้แจงกับศาลตั้งแต่ก่อนถูกจับ ขณะถูกจับ และหลังถูกจับ ว่ารู้จักกับฝ่ายผู้ถูกร้องหรือไม่ ซึ่งนายรัชฎา บอกว่า รู้จักกับนายชัยวัฒน์มากว่า 10 ปี สมัยที่นายชัยวัฒน์ เป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ทำเรื่องเบิกจ่ายโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ กว่า 4,200 ไร่ เป็นเงินกว่า 14 ล้านบาท เมื่อปี 2562 แล้วพบว่าไม่มีการดำเนินโครงการ จึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ก่อนที่เรื่องจะเงียบหายไป กระทั่งเป็นอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ กำลังจะดำเนินการต่อเนื่องจากคดีในชั้น ป.ป.ช.จะหมดอายุความในวันที่ 29 มีนาคมนี้ หากไม่ดำเนินการก็จะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นไปด้วย จึงคาดว่าเป็นสาเหตุให้นายชัยวัฒน์ ไม่พอใจจึงไปแจ้งความกับตำรวจ ปปป. ว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์จากข้าราชการกรมอุทยานแห่งชาติฯ ทั่วประเทศ และตำรวจจึงเข้ามาตรวจค้นในห้องทำงานก่อนที่จะพบเงินสดจำนวนกว่า 98,000 บาท พร้อมกับรายชื่อข้าราชการที่อยู่บนซอง นายรัชฎา ยังบอกว่าในวันที่เกิดเหตุ เป็นวันที่ทางกระทรวงฯ มีงานอยู่ในช่วงเช้า ซึ่งก็มีข้าราชการในสังกัดเข้ามาพบหลายคน ส่วนใหญ่ก็นำซองใส่เงินมาให้ เพื่อเป็นเงินบริจาคนำไปใช้ในโครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ ช่วยเหลืออาหารสัตว์ป่าของกลางที่ถูกยึดไว้ โดยให้เงินบริจาคผ่านอธิบดีเพื่อนำเงินเข้าโครงการ ส่วนสาเหตุที่ข้าราชการเหล่านั้นไม่โอนเงินเข้าบัญชีโดยตรงนั้น นายรัชฎา ระบุว่า เป็นเพราะข้าราชการต้องการให้อธิบดีทราบว่าร่วมบริจาคเงินเท่าใด แต่ด้วยวัตถุประสงค์อื่นหรือไม่ ไม่สามารถตอบได้ ส่วนก่อนหน้านี้ก็มีหน่วยงานเอกชน และราชการ หน่วยอื่นช่วยมาแล้วกว่า 6 ล้านบาท แต่ด้วยโครงการนี้ต้องใช้เงินกว่า 30 ล้านบาท จึงไม่เพียงพอ และมีการตัดงบประมาณจากโครงการอื่นมาช่วยเหลืออีกกว่า 20 ล้านบาท ส่วนเงินบริจาคในซองก็จะนำเข้าโครงการนี้ทั้งหมด ส่วนการจัดสร้างพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ได้จัดสร้างไปแล้วกว่า 500 องค์ และได้มีคนได้เช่าไปแล้วกว่า 300 องค์ เหลืออีกกว่า 100 องค์ ทำให้ในวันดังกล่าวมีข้าราชการมาเช่าพระบรมรูป โดยผ่านอธิบดีเช่นกัน ซึ่งเงินนี้จะนำไปอยู่ในโครงการสวัสดิการของข้าราชการกรมอุทยานแห่งชาติฯ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : รัชฎา แถลงข้อเท็จจริงศาล ปมถูกผู้การ ปปป.-ชัยวัฒน์ วางแผนลวงรับสินบน สำหรับเงินที่ตรวจยึดได้ในห้อง นายรัชฎา กล่าวว่า แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ เงินส่วนตัวที่เก็บไว้ในลิ้นชัก เงินที่ข้าราชการนำมาฝากเข้าโครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ และเงินเช่าพระบรมรูป เพื่อเข้าโครงการสวัสดิการฯ ส่วนหน้าซองที่มีการเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับเงินว่าเป็นค่าใช้จ่ายอะไรบ้างนั้น ขอให้เป็นสำนวนการสอบสวนของตำรวจในคดี ซึ่งให้การไปหมดแล้ว ขณะที่คดีอาญาที่ถูกดำเนินคดี ยังอยู่ระหว่างรอสำนักงาน ป.ป.ช. ไปชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งได้ไปรายงานตัวในเบื้องต้นไว้แล้ว และพร้อมที่จะต่อสู้คดี ยืนยันว่าไม่ได้เรียกรับผลประโยชน์จากข้าราชการในกรมอุทยานแห่งชาติฯ โดยหลังจากนี้จะพิจารณาเรียกร้องความเป็นธรรม จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรณีที่ถูกดำเนินคดีและถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากเห็นว่าไม่เป็นธรรม ด้านนายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ทนายความ กล่าวว่า ที่ผ่านมานายรัชฎา อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน จึงไม่ได้ออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชน และขอให้พิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม และอยากให้ดูคลิปวิดีโอในขณะที่นายชัยวัฒน์ เข้าไปพูดคุยในห้องทำงานของนายรัชฎา ก่อนที่จะถูกเข้าจับกุม โดยจะพบว่ามีการพูดคุยในลักษณะการขอไกล่เกลี่ยการจ่ายเงินกับอธิบดี ซึ่งทนายความก็ยืนยันว่า หลักฐานชิ้นนี้จะสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 30 มีนาคมนี้ ศาลได้นัดฟังคำสั่ง หรือ คำพิพากษาในคดีว่าจะรับฟ้อง หรือยกฟ้อง โดยก่อนหน้านี้ศาลได้ทำหนังสือถึงกองบัญชาการสอบสวนกลาง ให้ส่งรายงานข้อเท็จจริงการเข้าจับกุมมาให้แล้ว