แรงงานไทยเฮ!! ปี 66 ไทยได้โควตาจัดส่งแรงงานไปเกาหลีใต้เพิ่ม 1.5 หมื่นคน

วันที่ 1 ธ.ค. 2565 เวลา 10:28 น.

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยวันนี้ (1 ธ.ค.65) ว่า พล.อ.เอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบถึงผลการหารือระหว่าง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กับ นาย มุน ซึง ฮย็อน (Mr. Moon Seoung-hyun) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ซึ่งทำให้ไทยได้โควตาการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศเกาหลีเพิ่ม โดยหากไทยจัดส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศ จะเป็นโอกาสยกระดับเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน ทำให้คนไทยมีงานทำ นำรายได้กลับมาพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ ตลาดแรงงานต่างชาติในสาธารณรัฐเกาหลี นับว่าเป็นตลาดแรงงานที่มีศักยภาพ และเป็นตลาดที่น่าสนใจ เนื่องจากแรงงานต่างชาติได้รับความคุ้มครอง ตามกฎหมายเทียบเท่าคนในชาติ รวมทั้งอัตราค่าจ้างแรงงานค่อนข้างสูง ทำให้มีแรงงานไทยจำนวนมาก เดินทางไปทำงาน ซึ่งจากข้อมูลในเดือนกรกฎาคม 2565 มีจำนวนแรงงานไทยสะสม อยู่ในเกาหลี เป็นจำนวนถึง 12,950 คน ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานรายงานว่า ได้ขอเพิ่มโควตาการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานในประเทศเกาหลีใต้ ในปี 2566 ทั้ง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก วีซ่าทำงานประเภท E-9 (แรงงานทั่วไป) ที่จัดส่งตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) ขอเพิ่มโควตาจากเดิมที่เคยจัดส่งไปปีละ 2,500 คน เป็น 5,000 คน กลุ่มที่ 2 วีซ่าทำงานประเภท E-7 (แรงงานประเภททักษะ/แรงงานฝีมือ) ไปทำงานสาขาช่างเชื่อม ช่างทาสี ในอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ จำนวน 5,000 คน และกลุ่มที่ 3 วีซ่าทำงานประเภท E-8 (แรงงานเกษตรตามฤดูกาล) จากเดิม 2,500 คน เป็น 5,000 คน รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 15,000 คน ซึ่งในช่วงสัปดาห์การจัดการประชุมเอเปค 2022 ของไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มีโอกาสหารือกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเกาหลี ในประเด็นความร่วมมือด้านแรงงาน จึงได้หยิบยกประเด็นการขอเพิ่มโควตาแรงงาน และการแก้ไขปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย “นายกรัฐมนตรีได้วางแนวทางในการทำงานให้กับคณะรัฐมนตรี โดยให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือ ดูแล ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นอันดับต้น โดยรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตอบรับและดำเนินการตามข้อสั่งการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การเพิ่มโควตาแรงงานไทยในประเทศเกาหลีใต้ จะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มรายได้ของแรงงานไทย ยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานและครอบครัว พัฒนาทักษะและประสบการณ์ ที่จะสามารถนำมาพัฒนาศักยภาพของตนเอง และของประเทศไทยได้ ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ได้หยุดการทำงานแต่เพียงเท่านี้ ยังพิจารณาหาช่องทางอื่นๆ อย่างต่อเนื่องในการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคนไทย” นายอนุชา กล่าว